วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Chapter 9 : E-Government


E-Government หรือรัฐอิเล็กทรอนิกส์
คือการบริการจากภาครัฐเป็นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปใช้งาน ทำให้การบริหารจัดการของรัฐสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการคือ
1.สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน
2.ทำให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
3.เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั่วกัน
4.มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม

E-Government เป็นวิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานภาครัฐและปรับปรุงการบริการแก่ประชาชนและการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
การให้บริการของรัฐมุ่งเป้าไปที่กลุ่ม 3 กลุ่ม คือ
ประชาชน
ภาคธุรกิจ
ข้าราชการ

หากเทียบกับ E-Commerce แล้ว E-Government คือ G-to-G1 Transaction มีลักษณะเป็น intranet มีระบบความปลอดภัย เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ
ขณะที่ E-Service เทียบได้กับ B-to-G2 และ G-to-C3 Transaction ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการ โดยภาคธุรกิจกับประชาชนคือผู้รับบริการ

หลัก E-Government จะเป็นแบบ G2G , G2B และ G2C
ระบบต้องมีความมั่นคงปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ และประชาชนอุ่นใจในการรับบริการและชำระเงินค่าบริการ ธุรกิจก็สามารถดำเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่นได้

B2C คือภาคธุรกิจสู่ผู้บริโภค (Business to Consumer)
B2B คือภาคธุรกิจสู่ภาคธุรกิจ (Business to Business)
G2G คือภาครัฐสู่ภาครัฐด้วยกัน (Government to Government) เป็นรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการ ที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นในระบบราชการเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศและลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดำเนินการ ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกัน
G2C คือภาครัฐสู่ประชาชน (Government to Citizen) เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง โดยการบริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดำเนินธุรกรรมผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ เช่น การชำระภาษี การจดทะเบียน การจ่ายค่าปรับ เป็นต้น
G2B คือภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ (Government to Business) เป็นการให้บริการของภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอำนวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันโดยความเร็วสูง มีประสิทธิภาพและข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
G2E คือภาครัฐสู่ภาคข้าราชการและพนักงานของรัฐ (Government to Employee) เป็นการให้บริการที่จำเป็นของพนักงานของรัฐกับรัฐบาล โดยจะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต เช่น ระบบสวัสดิการ ระบบที่ปรึกษาทางกฏหมายและข้อบังคับในการปฏิบัติราชการ ระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ

การจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาล
เป็นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบนระบบอินเตอร์เน็ตด้วยกิจกรรม
- กาตกลงราคา
- การประกวดราคา
- การจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ
- การประมูล

วัตถุประสงค์การจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (E-Procurement)
- เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
- เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีไม่ว่าจะเป็นกระบวนการตรวจสอบและการเปิดเผยต่อสาธารณชน
- เพื่อประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายจากที่เดิมที่มักจะจัดซื้อจัดจ้างในราคาที่ค่อนข้างสูง

1.ระบบ E-Tending ระบบการยื่นประมูลอิเล็กทรอนิกส์
เป็นระบบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง กระบวนการสลับซับซ้อน การจัดซื้อจัดจ้างโดยอาศัยวิธีการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ

2.ระบบ E-Purchasing ระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น 2 ระบบย่อย
ระบบ E-Shopping ระบบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าไม่สูง กระบวนการสลับซับซ้อนไม่มาก เช่น การจัดซื้อวัสดุสำนักงานในปริมาณไม่สามารถทำผ่านระบบ E-Catalog
การลงทุนเพื่อจัดทำระบบ E-Shopping มีความคุ้มทุนก็ต่อเมื่อมีความถี่ในการซื้อสินค้าบ่อยครั้ง

3.ระบบ E-Auction
เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและบริการที่มีมูลค่าสูงหรือปริมาณมาก และมีกระบวนการดำเนินงานที่ไม่สลับซับซ้อนมากนัก เช่น การจัดซื้อคอมพิวเตอร์ การจัดหาบริการทำความสะดวกคุณภาพและบริการของผู้ค้าแต่ละรายไม่มีความแตกต่างกันมากนัก

Chapter 8 : E-marketing


E-Marketing
E-Marketing ย่อมาจาก Electronic Marketing หรือเรียกว่า "การตลาดอิเล็กทรอนิกส์"
หมายถึงการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือ PDA ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยระบบอินเตอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง

ข้อดีของ E-Marketing เมื่อเทียบกับสื่ออื่น
1.เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 800 ล้านคน 225 ประเทศ 104 ภาษา
2.สามารถวัดผลได้แม่นยำกว่าสื่ออื่น
3.ราคาลงโฆษณาถูกกว่าเมื่อเทียบกับสื่ออื่น
4.จำนวนผู้ใช้สื่อนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
5.คุณภาพของผู้ใช้มีมากกว่าสื่ออื่น

เปรียบเทียบกันระหว่าง 2 โมเดล
Click & Click
ข้อดี
- ต้นทุนต่ำ ใช้คนน้อย
- เริ่มต้นได้ง่าย
- เปิดกว้างมากกว่า
- ไม่ต้องมีความชำนาญมาก ก็สามารถเริ่มทำได้

ข้อเสีย
- ขาดความชำนาญ
- สร้างฐานลูกค้าใหม่
- รองรับลูกค้า Online ได้อย่างเดียว
- ความน่าเชื่อถือน้อย

Click & Motar
ข้อดี
- มีความเชี่ยวชาญ
- มีลูกค้าอยู่แล้ว
- น่าเชื่อถือ
- รองรับลูกค้าได้ทั้ง Online และ Offline

ข้อเสีย
- ต้นทุนสูง ใช้คนมาก
- ใช้เวลาในการจัดทำ
- การทำงานต้องยึดติดกับบริษัท

การเริ่มต้นตลาดออนไลน์
1.กำหนดเป้าหมาย เป้าหมายในการทำเว็บ ทำให้คนอื่นๆ ได้รู้จัก , ขายสินค้า , ช่วยเหลือบริการหลังการขาย , ให้ข้อมูลสินค้าและใช้เป็นช่องทางในการติดต่อ , เชื่อมโยงระหว่างองค์กรเครือข่าย
2.ศึกษาคู่แข่ง คู่แข่งคือใคร , รูปแบบการทำเว็บ , จุดเด่น-จุดอ่อน
3.สร้างพันธมิตร เว็บคู่แข่ง , บุคคลหรือองค์กรที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน
4.ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็น เค้าเตอร์วัดจำนวนคนเข้าขม , เว็บบอร์ด , Guestbook
5.ดูแลและปรับปรุงเว็บไซท์ ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ / คู่แข่ง / ตลาด / สภาพแวดล้อม / เทคโนโลยี , เปิดรับความคิดเห็นจากผู้ใช้ , ปรับปรุงเว็บไซท์อยู่เสมอ

การประชาสัมพันธ์เว็บไซท์
1.วิธีการออนไลน์ (Online)
- Banner Advertising จัดทำโฆษณาแบนเนอร์หรือตามเว็บไซท์กลุ่มเป้าหมาย
- Search Engine Advertising เช่น Google.com , Yahoo เป็นต้น



- E-mail Advertising การตลาดผ่านอีเมล์
- Viral Marketing
- E-Marketplace Marketing

2.วิธีการออฟไลน์ (Offline)
- ฟรี เช่นการนำ URL ไปติดตามสถานที่ต่างๆ ที่ประชาสัมพันธ์ได้ , นามบัตร , หัว-ซองจดหมาย
- เสียเงิน

6 Cs กับความสำเร็จของการทำเว็บ
1.Content (ข้อมูล) ข้อมูลต้องสดใหม่เสมอ มีความถูกต้อง และอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
2.Community (ชุมชน,สังคม) การรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ร่วมกันภายใต้สถานที่หนึ่งๆ โดยมีการพูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกันภายในสถานที่แห่งนั้น
3.Commerce (การค้าขาย) การทำการค้าขายผ่านเว็บไซท์ สามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซท์ได้
4.Customization (การปรับให้เหมาะสม) รูปแบบการให้บริการที่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับผู้ใช้บริการภายในเว็บไซท์
5.Communication , Channel (การสื่อสารและช่องทาง) ช่องทางการสื่อสารและติดต่อกับผู้ใช้บริการในเว็บไซท์
6.Converse (ความสะดวกสบาย) การใช้งานง่าย เรียนรู้ง่าย จดจำวิธีการใช้งานได้ง่าย

Chapter 7 : Supply Chain Management (SCM) ,Enterprise Resource Planning ,Customer Relation Management


Supply Chain Management (SCM)
ระบบจัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ supplier , manufacturers , distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน
เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการได้
ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการ Supply Chain
การกำเนิดระบบการบริหาร Supply Chain มีต้นแบบมาจากการส่งลำเลียงอาหารและอาวุธต่างๆ ตามระบบส่งกำลังบำรุงของทหาร โดยเฉพาะในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและอาหารจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการ ไปยังสถานที่ที่กำหนดอย่างตรงเวลา
เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด จึงต้องวางแผนจัดลำดับให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด ต่อมาได้มีการพัฒนาแนวความคิดและมีการดัดแปลงให้กับธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรม
มีระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนการบริหาร  Supply Chain 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 องค์กรในรูปบบพื้นฐาน (The Baseline Organization)
เป็นรูปบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิม ไม่ค่อยจะมีความยืดหยุ่น ที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก แต่ละฝ่ายต่างทำงานเป็นอิสระต่อกันไม่เกี่ยวข้องกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน (The Functionally Integrated Company)
แต่ละองค์กรเริ่มจะจัดตั้งเป็นบริษัท มีการรวบรวมหน้าที่ ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันและฝ่ายเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ (The Internally Integrated Company)
องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายทำงานมากขึ้น
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วย (The Externally Integrated Company)
ระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบ  Supply Chain อย่างเต็มตัว โดยมีการปรับโครงสร้างการบริหารแบบ  Supply Chain ภายในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก

การบริหารจัดการ  Supply Chain
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องใน  Supply Chain เป็นสำคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหารจัดการดี ควรถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงานและการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่องค์กรอื่นๆ ใน  Supply Chain ได้
ความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1.ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม Suppliers (Supply - management interface capabilities)
เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ในการส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิตและส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้ประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ในการแข่งขันเชิงรุก เพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
2.ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า (Demand - management interface capabilities)
เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้นในเชิงการแข่งขัน คุณภาพโลจิสติกส์ที่ต้องการคือ ความรวดเร็ว การมีสินค้าพร้อมจำหน่ายเมื่อลูกค้าต้องการ การส่งมอบสินค้าที่สมบูรณ์สอดคล้องตามความต้องการของลูกค้าและการมีระบบสื่อสารที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้
3.ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities)
ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรใน  Supply Chain มีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่บริษัทข้ามชาติจะเริ่มต้นประกอบการในประเทศต่าง ๆ จะต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานทาง IT พิจารณาวางแผนกับปัญหาในเรื่องการประสานข้อมูลต่าง ๆ ทั้งในระบบองค์กรและระหว่างองค์กรโดยพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กับการวางกลยุทธ์

ปัญหาของการจัดการ  Supply Chain
การจัดการ  Supply Chain ให้ประสบความสำเร็จเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องการ สามารถจำแนกได้ดังนี้
1.ปัญหาจากการพยากรณ์ การพยากรณ์ความต้องการสินค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจัดการ  Supply Chain ซึ่งการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมีส่วนสำคัญที่ทำให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด และอาจจะทำให้ผู้ผลิตมีสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าที่เกิดขึ้น
2.ปัญหาในกระบวนการผลิต เกิดจากกระบวนการผลิตอาจจะทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ เช่น เครื่องจักรเสีย ทำให้ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งในการซ่อมแซมและปรับตั้งเครื่องจักร
3.ปัญหาด้านคุณภาพ จะส่งผลให้กระบวนการการผลิตต้องหยุดชะงัก และทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นระบบการขนส่งที่ไม่มีคุณภาพสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานได้เช่นกัน
4.ปัญหาในการส่งมอบสินค้า การส่งมอบที่ล่าช้าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างทำและสินค้าสำเร็จรูป เช่น supplier ส่งมอบวัตถุดิบล่าช้า ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามตามตารางการผลิตที่กำหนดไว้ นอกจากนั้น ระหว่างกระบวนการผลิต การส่งต่องานระหว่างทำที่ล่าช้าตามไปด้วยในกรณีที่ไม่สามารถปรับตารางการผลิตได้ทัน
5.ปัญหาด้านสารสนเทศ สารสนเทศที่ผิดพลาดมีผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งทำให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่กำหนดไว้
6.ปัญหาจากลูกค้า เป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน เช่น ลูกค้ายกเลิกคำสั่ง ในบางครั้งผู้ผลิตได้ทำการผลิตสินค้าไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ได้รับการยกเลิกคำสั่งซื้อจากลูกค้าในเวลาต่อมา จึงทำให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังส่วนนั้นไว้

Bullwhip Effect
ปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนำมาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง
เทคโนโลยีสารสนเทศใน Supply Chain
เทคโนโลยีช่วยในการจัดการ  Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
การจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตลาดและที่สำคัญไปกว่านั้นคือการนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการให้ระบบ  Supply Chain มีความต่อเนื่องไม่ติดขัด

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business)
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) หรือในบางครั้งเรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดำเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ

ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทานส่วนใหญ่จะมีการดำเนินธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กับ supplier และลูกค้าประโยชน์ที่ได้รับจากการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีหลายประการ
- เกิดการประหยัดต้นทุน เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานคน ทำให้ราคาของสินค้าลดลง
- ลดการใช้คนกลางในการดำเนินธุรกิจ เช่น ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการ เป็นต้น
- ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นระหว่างโซ่อุปทาน
- ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสารสนเทศมากขึ้น

การใช้บาร์โค้ด (Bar Code)
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปแบบของแท่งบาร์ ประกอบด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน ซึ่งเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร
สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง scanner มันจึงทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า เช่น หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการผลิต เลขหมายเรียงลำดับกล่องเพื่อการขนส่ง ปริมาณสินค้าที่ผลิต รวมถึงตำแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น

การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI : Electronic Data Interchange)
เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ supply chain เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้
เรียกว่า EDI Message ผ่านเครือข่ายการสื่อสาร (Telecommunication Network) ทำให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการทำงาน

การใช้ซอฟต์แวร Application SCM
การนำซอฟต์แวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน เช่น Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟต์แวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทำหน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการจัดคลังสินค้า
Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจำกัดและกฏเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด
Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จำเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่ง เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด
Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า เป็นต้น
ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตระบบ ERP มีอยู่ 5 รายคือ SAP , ORACLE , Peoplesoft , J.D.Edwards และ Baan

เครือ THE MINOR GROUP
เครือเดอะไมเนอร์กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารที่เป็นเจ้าของร้านอาหารกว่า 700 แห่งและโรงแรมกว่า 2,400 ห้อง และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแฟชั่นกว่า 20 แบรนด์
และได้มีการขยายธุรกิจหลักออกไปสู่ต่างประเทศด้วย ทั้งการลงทุนเองและซื้อกิจการใหม่ เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว

Food service

 Hotel and Plaza Entertainment 
SCM กับเครือ THE MINOR GROUP
supply chain เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันโลกการค้ายุคใหม่ด้วยศักยภาพของอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมโยงเครือข่ายหรือห่วงโซ่ supply chain ในรูปแบบของ E-Supply Chain เป็นทีมเดียวกันอยู่ภายใต้ระบบและฐานข้อมูลเดียวกันแบบ Real Time สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ความใหญ่เล็กขององค์กรจะไม่เป็นปัญหาในการแข่งขันทางการค้า

ระบบที่เครือ THE MINOR GROUP นำมาใช้ในการจัดการ supply chain ประกอบด้วยระบบหลัก 4 อย่างคือ
1.ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นเทคโนโลยีบริหารกระบวนการธุรกิจโดยเฉพาะการเชื่อมโยง SCM เน้นการบูรณาการกระบวนการหลักของธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรมประจำวัน
ระบบ ERP ที่เครือ THE MINOR GROUP นำมาใช้คือโปรแกรม Oracle ใช้ในการจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชีและการบริหารงานบุคคลเข้าด้วยกัน
2.ระบบ POS (Point Of Sale) ทุกครั้งที่มีการซื้อขายหน้าร้านทุกสาขาทั่วประเทศ ระบบ POS ของแต่ละสาขาก็จะส่งข้อมูลการขายสินค้าส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์สำนักงานใหญ่ เมื่อสำนักงานใหญ่รวบรวมข้อมูลการขายสินค้าของแต่ละสาขาแล้ว ก็จะทำการเปิดใบสั่งซื้อไปยัง suplier ผ่านระบบออนไลน์ให้กับ suplier รายย่อยต่อไป
3.ระบบ Barcode เก็บข้อมูลรายละเอียดสินค้า เพราะจะทำให้บริษัททราบถึงข้อมูลรายละเอียดสินค้าผ่านรหัสใน Barcode
4.ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่องค์กรนำมาใช้เพื่อบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้ากับองค์กรตลอดวงจรชีวิตการเป็นลูกค้า ได้แก่ การตลาด การขาย การให้บริการ และการสนับสนุน โดยใช้ทรัพยากรด้านสารสนเทศ กระบวนการ เทคโนโลยีและบุคลากร โดยเน้นการสร้างประสานสัมพันธ์กับลูกค้าหรือ Demain Chain Management ผ่านการจัดโปรแกรมเพื่อจูงใจลูกค้า





Chapter 6 : Supply chain management

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain management) คือ การจัดการกลุ่มกิจกรรมงาน กล่าวคือ ตั้งแต่การรับวัถุดิบมาจาก Supplies แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั้นให้เป็นสินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า

สิ่งที่จะทำให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้น เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ คือ วัตถุดิบ และสารสนเทศ
ปัญหา คือ ความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบและมีราคาถูก
- พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่งที่ถูกต้อง
- ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
- ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่งซื้อที่ถูกต้องเพื่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้อง
- ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง

ประโยชน์ของการทำ SCM
1.การเคลื่อนไหวของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
2.ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
3.เพิ่มความเร็วได้มากขึ้น
4.ขจัดความสิ้นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
5.ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
6.ปรับปรุงการบริการลูกค้า

การบูรณาการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Integration)
- การบูรณาการกระบวนการภายในทางธุรกิจให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสียและมีความยืดหยุ่น
ใช้นโยบายการทำงานแบบข้ามสายงาน ลดกระบวนการและขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น
- การบูรณาการกับกระบวนการภายนอก นั้นคือบูรณาการกับกระบวนการของลูกค้าที่สำคัญและผู้จัดหาวัตถุดิบที่สำคัญ
ให้เข้ากับกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยตะเข็บ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถตอบสนองความต้องการ
ของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว ขระที่ต้นทุนลดต่ำลงด้วย
- การบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนและประสานงานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่างถูกต้อง
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้กัน ได้แก่ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) , การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI)
การส่งจดหมายทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) , บาร์โค้ด (Bar Code) , การชี้บ่งตำแหน่งด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification - RFID) , อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต ซอฟท์แวร์การวางแผนทรพยากรวิสาหกิจ (Enterprise Resource Planning - ERP) เป็นต้น

ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

ยกตัวอย่างการนำ Value Chain มาวิเคราะห์เพื่อนำ IT บูรณาการให้องค์กร




การนำระบบสารสนเทศไปใช้ในการจัดการด้าน Supply Chain
การจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆ ที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต (Supplier) , ผู้จัดจำหน่าย (Distributor) และลูกค้า (Customer)
ส่วนกลยุทธ์ทางด้าน Supply Chian นั้นได้แก่ ความพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-In Customer หรือ Lock-In Supliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทำธุรกิจกับผู้อื่น (Switching cost) มีสูงขึ้น
               
ตัวอย่างของการนำสารสนเทศมาใช้ในองค์กร
บริษัท UPS (United Parcel Service) บริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกในด้านการจัดส่งพัสดุทางบก ใช้คอมพิวเตอร์ Hand-held Computer
บันทึกข้อมูลลายเซ็นลูกค้าเวลาที่รับหีบห่อและเวลาที่ส่งหีบห่อ จากนั้นส่งผ่านข้อมูล โดยผ่านระบบเครือข่ายของโทรศัพท์ไร้สายหรือ Cellular Telephone Network ภายในรถไปยังคอมพิวเตอร์หลักของบริษัทที่ตั้งอยู่ทั่วโลก ทำให้สามารถทราบได้ว่าพัสดุอยู่ที่ไหน
ซึ่งระบบนี้จะใช้ Bar Code บันทึกข้อมูลหีบห่อที่รับและส่ง เพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง ทำให้ฝ่ายขายสามารถตอบคำถามลูกค้าเกี่ยวกับพัสดุได้ และลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นได้เองทางระบบอินเตอร์เน็ต